บีเอเอสเอฟ เผยข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ผสมอาหารคนและสัตว์

บีเอเอสเอฟ เผยข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ที่ใช้เป็นส่วนผสมในอาหารและโภชนาการสำหรับคนและสัตว์ ชี้สภาวะการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เป็นหนึ่งในความท้าทายใหญ่ที่สุดกับผู้ประการธุรกิจทั่วโลก ที่มีเป้าหมายลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ภาย (Net Zero) ในปี 2050

 

บีเอเอสเอฟแสดงข้อมูลคาร์บอนฟุตพรินท์ของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มวิตามิน แคโรทีนอยด์ โพลีเมอร์สำหรับเครื่องดื่มแปรรูป เอนไซม์สำหรับอาหารสัตว์ และส่วนผสมสำหรับเพิ่มประสิทธิภาพในอาหารสัตว์ ที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากล

คาร์บอนฟุตพรินท์ของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มวิตามินเอและอีที่ผลิตโดยบีเอเอสเอฟ มีค่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดโลกมากกว่า 20%

ระบบการผลิตแบบบูรณาการของบีเอเอเอสเอฟ หรือที่เรียกว่าเวอร์บุนด์ (Verbund) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร

บีเอเอสเอฟเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีและเพิ่มการลงทุนด้านพลังงานสะอาดเพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ในปี ค.ศ. 2050

บีเอเอสเอฟ จัดงานเสวนา “Sustainability Forum” ว่าด้วยความสำคัญในการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ที่ใช้เป็นส่วนผสมในอาหารและโภชนาการ เพื่อส่งเสริมการสร้างความโปร่งใสในปริมาณการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในผลิตภัณฑ์อาหาร เครื่องดื่ม และอาหารเสริม เนื่องจากสภาวะการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน เป็นหนึ่งในความท้าทายใหญ่ที่สุดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ที่กลุ่มธุรกิจของบีเอเอสเอฟได้ตระหนักและให้ความสำคัญในการสร้างความร่วมมือกับภาครัฐและพันธมิตรทางธุรกิจ “ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์" เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืน

ทั้งนี้บีเอเอสเอฟ และมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ภาย (Net Zero) ในปี ค.ศ. 2050 (ขอบเขต 1 และ 2) โดยส่งเสริมการมีส่วนร่วมและรับผิดชอบในการเป็นผู้กำหนดการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมที่เป็นกลางทางคาร์บอน และขั้นตอนสำคัญประการหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงนี้ คือการสร้างความโปร่งใสในการเข้าถึงค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงตลอดห่วงโซ่คุณค่า

นางสาวรสจันทร์ โลหะกิจสงคราม กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทบีเอเอสเอฟ ในประเทศไทยและเวียดนาม กล่าวว่า “บีเอเอสเอฟ ให้ความสำคัญต่อการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่กับการดูและสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคม และผลักดันการสร้างความร่วมมือ เพื่อยกระดับการขับเคลื่อนให้เกิดความยั่งยืนในทุกกระบวนการของการดำเนินธุรกิจ โดยแผนในการบรรลุเป้าหมาย Net Zero  ของบริษัทมุ่งเน้นใน 5 เรื่องหลัก คือ (1) เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ที่ใช้ในโรงงาน ในสัดส่วนมากกว่า 60% ภายในปีค.ศ. 2030 (ปัจจุบันมีสัดส่วน 16%) โดยมีการลงทุนในโครงการฟาร์มกังหันลมและติดตั้งแผงโซลาร์มากมาย (2) การใช้พลังงานไฟฟ้าทดแทนพลังงานจากฟอสซิลในโรงงาน (3) การใช้เทคโนโลยีใหม่ ที่ทำให้ปราศจากคาร์บอนในกระบวนการผลิต (4) การทดแทนวัตถุดิบที่มาจากน้ำมันด้วยวัตถุดิบหมุนเวียนได้ที่มาจากพืช (5) การเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต ทั้งหมดนี้เพื่อส่งเสริมการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ

 

ด้านบีเอเอสเอฟ ประเทศไทย นั้นเราให้ความร่วมมือทั้งกับภาครัฐ และเอกชนต่างๆ ที่เป็นพันธมิตร อาทิ Alliance to End Plastic Waste (AEPW) เพื่อจัดการกับความท้าทายระดับโลกเกี่ยวกับการจัดการขยะพลาสติก รวมทั้งการสนับสนุนโซลูชั่นหลังการใช้งานเพื่อให้สามารถรีไซเคิลพลาสติกได้อย่างมีประสิทธิภาพและนำกลับมาหมุนเวียนใช้ซ้ำได้ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน นอกจากนี้เรายังมีส่วนในการปลูกฝังและให้ความรู้แก่นักเรียนและนักศึกษาในเรื่องความสำคัญของความยั่งยืนด้วยเช่นกัน”

จากการทำงานของ บีเอเอสเอฟ เมืองลุดวิกส์ฮาเฟน ประเทศเยอรมนี : การคำนวณข้อมูลคาร์บอนฟุตพรินท์หรือปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มวิตามินแคโรทีนอยด์ โพลีเมอร์สำหรับเครื่องดื่มแปรรูป เอนไซม์สำหรับอาหารสัตว์ และส่วนผสมสำหรับเพิ่มประสิทธิภาพในอาหารสัตว์สำหรับตลาดอาหารและโภชนาการของมนุษย์และสัตว์1 นั้นใช้วิธีการคำนวณที่ได้รับการรับรองจาก TÜV Rheinland ตามมาตรฐานสากล ISO 14067:2018

ค่าคาร์บอนฟุตพรินท์ของผลิตภัณฑ์เป็นผลรวมปริมาณก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่ปล่อยออกมาจากผลิตภัณฑ์ตลอดวัฏจักรชีวิต นับตั้งแต่การได้มาของวัตถุดิบ การผลิต การขนส่ง การใช้งาน และการกำจัด ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีความสำคัญในการสร้างความโปร่งใสเกี่ยวกับ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์ ทั้งยังช่วยให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้ดียิ่งขึ้นจากการเปรียบเทียบค่าคาร์บอนฟุตพรินท์ของผลิตภัณฑ์วิตามินเอและอีของบีเอเอสเอฟกับผลิตภัณฑ์จากบริษัทอื่นๆ ในตลาดพบว่า ผลิตภัณฑ์หลายกลุ่มของบีเอเอสเอฟมีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดโลกอย่างน้อย 20 เปอร์เซ็นต์2 โดยการเปรียบเทียบนี้ได้ดำเนินการตามมาตรฐาน ISO14044, ISO14067 และมาตรฐาน GHG protocol ซึ่งได้รับการรับรองจาก TÜV Rheinland ใบรับรองนี้ยืนยันการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์ของบีเอเอสเอฟและค่าเฉลี่ยของตลาดตาม ISO 14067:2018 ทั้งนี้ ใบรับรองดังกล่าวยังได้รับการเผยแพร่ในฐานข้อมูล (www.certipedia.com) โดยลูกค้าสามารถตรวจสอบข้อมูลดังกล่าวได้โดยตรง

 

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่ำลงคือระบบการผลิตแบบบูรณาการของบีเอเอสเอฟ ซึ่งรวมถึงการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงและการใช้แหล่งพลังงานและวัตถุดิบที่มีปริมาณการปล่อยคาร์บอนต่ำ

จูเลีย ราเกต์ รองประธานอาวุโสหน่วยงาน Global Business Unit Nutrition Ingredients กล่าวว่า "เรามุ่งมั่นที่จะสนับสนุนลูกค้าในการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยมลพิษ ผลิตภัณฑ์วิตามินเอและอีบางชนิดของเรามีข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองดีกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดโลกถึง 20 เปอร์เซ็นต์ บริษัทมีความภูมิใจที่ได้มอบข้อได้เปรียบด้านสิ่งแวดล้อมนี้ให้กับลูกค้า"

ผลิตภัณฑ์ของบีเอเอสเอฟ ที่มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าผลิตภัณฑ์จากบริษัทอื่นๆ ในตลาดโลกโดยเฉลี่ยอย่างน้อย 20 เปอร์เซ็นต์  ได้แก่ 

โภชนาการสัตว์: Lutavit® A 1000 NXT  และ Lutavit® E 50

โภชนาการคน: Vitamin AP 1,7 TOC และ Vitamin E Acetate 98% และ DL-alpha-Tocopherol

 

บีเอเอสเอฟ มุ่งมั่นที่จะเสนอแนะแนวทางสำหรับผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ในการคำนวณข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์ตลอดช่วงวงจรชีวิตในอุตสาหกรรมเคมี เพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมและความสามารถในการเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ที่ถูกต้อง

 

อนึ่ง บีเอเอสเอฟ เป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์และบริการสำหรับอุตสาหกรรมโภชนาการและสุขภาพของคนและสัตว์ เภสัชกรรม เครื่องปรุงรสและน้ำหอม ด้วยหน่วยงานธุรกิจที่ครอบคลุมและขับเคลื่อนการผลิตด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เราตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั่วโลกที่เติบโตอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เพิ่มขึ้นของประชากรโลก เรามุ่งมั่นในการเสริมสร้างโภชนาการ สุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีของผู้บริโภคทั่วโลก ผลิตภัณฑ์ของบีเอเอสเอฟเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย กฎระเบียบ และการพัฒนาอย่างยั่งยืนสูงสุด ปัจจุบันแผนกโภชนาการและสุขภาพของบีเอเอสเอฟมีการดำเนินงานในยุโรป อเมริกาเหนือ และเอเชียแปซิฟิก สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.basf.com

 

ขณะที่ บีเอเอสเอฟ ประเทศไทย ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยเป็นเวลากว่า 55 ปี โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นที่หลากหลาย ตอบโจทย์ความต้องการในภาคอุตสาหกรรมหลักในประเทศ ครอบคลุมตั้งแต่ธุรกิจการเกษตร คะตะลิสต์ในยานยนต์ สีในการผลิตยานยนต์ เคมีเพื่อผลิตภัณฑ์อุปโภค เคมีเพื่อโภชนาการและสุขภาพ เคมีภัณฑ์อุตสาหกรรม โพลิเมอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง โพลียูรีเทน และเคมีภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ

 

ทั้งนี้ บีเอเอสเอฟได้เริ่มต้นธุรกิจในประเทศไทยเมื่อปี 2509 มีสำนักงานใหญ่ในกรุงเทพฯ  มีฐานการผลิตทั้งหมด 4 แห่ง อีกทั้งจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการด้านเทคนิคของธุรกิจสีพ่นรถยนต์และศูนย์พัฒนาทางเทคนิคของธุรกิจโพลิเมอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง ประจำภูมิภาคอาเซียนที่ จ.สมุทรปราการ ในปี 2565 บีเอเอสเอฟ ประเทศไทย  มียอดขายถึง 676 ล้านยูโร และมีพนักงานทั้งสิ้น 599 คน ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริษัทได้ที่เว็บไซต์ www.basf.com/th/

 

สำหรับบีเอเอสเอฟ ทั่วโลก เป็นหนึ่งในผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ชั้นนำระดับโลกที่มุ่งมั่นในการสร้างสรรค์อนาคตที่ยั่งยืน เราดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสังคมเป็นหลัก พนักงานมากกว่า 111,000 คนทั่วโลกต่างมีส่วนร่วมในความสำเร็จของธุรกิจในหลากหลายภาคอุตสาหกรรม รวมถึงในประเทศต่างๆ บีเอเอสเอฟประกอบด้วยธุรกิจหลัก 6 ประเภท ได้แก่ เคมีภัณฑ์ เคมีภัณฑ์อุตสาหกรรม โซลูชันสำหรับภาคอุตสาหกรรม เทคโนโลยีสำหรับพื้นผิว เคมีเพื่อผลิตภัณฑ์บริโภค และโซลูชันเพื่อการเกษตร ในปี 2565  บีเอเอสเอฟมียอดขาย 87.3 พันล้านยูโร โดยหุ้นบีเอเอสเอฟซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แฟรงก์เฟิร์ต (BAS) และในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ (BASFY) สามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.basf.com

 

ข้อมูลอ้างอิง”

1 การคำนวณข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์ของบีเอเอสเอฟเป็นไปตามข้อกำหนดและแนวทางของ ISO 14067:2018 ทั้งนี้ TÜV Rheinland ได้รับรองว่าวิธีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์ (SCOTT) ที่พัฒนาและใช้งานโดยบีเอเอสเอฟเอสอีนั้นมีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สอดคล้องกับ ISO 14067:2018 และสะท้อนถึงสถานะปัจจุบันของเทคโนโลยี (ID-Nr. 0000080389: BASF SE - Certipedia) อย่างไรก็ตาม การคำนวณไม่รวม Monoglycerides สารจับเชื้อราและเบต้าแคโรทีนจากธรรมชาติ

2 การเปรียบเทียบการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์ที่อ้างถึงนั้น บีเอเอสเอฟได้ประเมินและประมาณการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์ของผู้ผลิตหลักทั้งหมดของผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยอาศัยข้อมูลเส้นทางการผลิตและวัตถุดิบที่ใช้ร่วมกันที่สามารถเผยแพร่ต่อสาธารณะ ตลอดจนความรู้ทางการตลาดและเทคโนโลยี โดยค่าเฉลี่ยทั่วโลกของตลาดทั้งหมดนั้น บีเอเอสเอฟประมาณการจากกำลังการผลิตตามป้ายชื่อโดยไม่รวมบีเอเอสเอฟในปี 2565 ทั้งนี้ ผู้ผลิตวิตามินเอทั้งหมดเผชิญกับความท้าทายมากมาย อาทิ การซ่อมบำรุงของโรงงานที่นอกเหนือจากแผนที่วางไว้ การรื้อถอนโรงงานที่ยืดเยื้อ การดำเนินการผลิตที่หยุดชะงัก ความต้องการของตลาดที่น้อยลง การใช้กำลังการผลิตของโรงงานต่ำ โดยในการเปรียบเทียบดังกล่าว บีเอเอสเอฟสันนิษฐานว่าปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบเชิงลบต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์ของผู้ผลิตทั้งหมดในระดับที่ใกล้เคียงกัน และได้นำปัจจัยดังกล่าวมาพิจารณาในการประเมินผล โดยวิธีการที่ใช้นั้นเป็นวิธีการเดียวกับวิธีการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับบีเอเอสเอฟ ทั้งนี้ เกณฑ์มาตรฐานสามารถใช้ได้ในระยะเวลา 3 ปี เว้นแต่หากต้องมีการตรวจสอบล่วงหน้าเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในสมมติฐานหรือข้อมูล

Visitors: 5,034,689