ยามาฮ่า ฉลองครบรอบ 70 ปี ประกาศความยิ่งใหญ่บนเวที Japan Mobility Show 2025

ยามาฮ่า ฉลองครบรอบ 70 ปี ความยิ่งใหญ่ ประกาศเข้าร่วม Japan Mobility Show 2025 อวดโฉม 16 โมเดลสุดล้ำ ภายใต้คอนเซปต์ Feel the Future of Human-Machine Mobility

 

บริษัท ยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ฉลองครบรอบ 70 ปี อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการยกทัพยานยนต์สุดล้ำเข้าร่วมโชว์นวัตกรรมและเทคโนโลยีในงาน Japan Mobility Show 2025 ซึ่งจัดโดยสมาคมผู้ผลิตรถยนต์แห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan Automobile Manufacturers Association, Inc.) Tokyo Big Sight ระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม - 9 พฤศจิกายน 2568 ภายใต้ธีม “Feel. Move.” สัมผัส ทุกการเคลื่อนไหว นำพาหัวใจให้ตอบสนอง ช่วงเวลาแห่งความตื่นเต้น ประกายแห่งแรงบันดาลใจเหล่านี้ — นำพาความสุขมาสู่ชีวิต และส่องแสงสว่างให้กับวันที่จมอยู่กับกิจวัตรประจำวัน

โดยบูธ Feel. Move.” ของ ยามาฮ่า มอเตอร์ ตั้งอยู่ใน East Hall 5 และถูกสร้างสรรค์ขึ้นภายใต้แนวคิด “สัมผัสอนาคตของการเดินทางระหว่างมนุษย์ และเครื่องจักร (Feel the Future of Human-Machine Mobility) โดยมีการจัดแสดงโมเดล 16 สุดล้ำของนวัตกรรมยานยนต์ พร้อมทั้งอวดโฉม 6 โมเดลครั้งแรกของโลก ด้วยรถยานยนต์ต้นแบบสุดล้ำ รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าและระบบไฮบริด, จักรยานไฟฟ้า (eBikes), และโมเดลแนวคิดสำหรับรถเข็นไฟฟ้าได้แก่ MOTOROiD:Λ(โมโตรอยด์ แลมบ์ดา) รถจักรยานยนต์ที่เรียนรู้และพัฒนาตนเองแบบอัตโนมัติ, TRICERA proto ยานยนต์ 3 ล้อต้นแบบ ที่ใช้ระบบเลี้ยวได้ทั้ง 3 ล้อ, PROTO BEV มอเตอร์ไซค์ EV SuperSport, H2 Buddy Porter Concept เครื่องยนต์ไฮโดรเจนที่ร่วมกันพัฒนากับโตโยต้าเพื่อพลังงานที่สะอาด, Y-00B จักรยานไฟฟ้าที่เรียบหรูและทันสมัย และ e-Axle for Automotive Drive Unit ชุดขับเคลื่อนพลังงานไฟฟ้าที่ใช้โครงสร้างแบบผสานรวมกับมอเตอร์ อินเวอร์เตอร์ และชุดเกียร์เข้าด้วยกัน

 

นอกจากนี้ บริษัท ยามาฮ่า คอร์ปอเรชั่น ยังให้ความร่วมมือโดยมี ฮัตสึเนะ มิกุ ผู้มีชื่อเสียงจาก VOCALOID มาเป็นผู้ส่งเสริมการประชาสัมพันธ์บูธ พร้อมทั้งจัดแสดงเครื่องดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ และทำการแสดงด้วยเครื่องดนตรีเหล่านั้น รวมถึงนำเสนอการแสดงบนเวทีที่เต็มไปด้วยพลังโดยใช้เทคโนโลยีอะคูสติก 3 มิติของยามาฮ่าอีกด้วย

 

WORLD PREMIERE MODELS ทั้ง 6 รุ่น ที่ทำการเปิดตัวในครั้งนี้ได้เแก่

MOTOROiD:Λ (แลมบ์ดา)

 

MOTOROiD เป็นโครงการที่ยามาฮ่าได้พัฒนาขึ้นมาภายใต้แนวคิด “ความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร” โดยได้เริ่มโครงการตั้งแต่ปี 2017 ที่ยามาฮ่าได้เผยโฉม MOTOROiD รุ่นต้นแบบ (Proof of Concept) ที่สามารถยืนทรงตัว และโต้ตอบกับผู้ขี่ได้อย่างอิสระ จากนั้นในปี 2023 MOTOROiD2 ได้พัฒนาไปอีกขั้น ด้วยความสามารถในการสื่อสาร และตอบสนองซึ่งกันและกันระหว่างผู้ขี่กับตัวรถ เสมือนกับเป็น “คู่หู” ที่เข้าใจกัน และในปี 2025 ยามาฮ่าได้พัฒนา MOTOROiD ขึ้นไปอีกขั้นโดยมีชื่อว่า MOTOROiD:Λ(โมโตรอยด์ แลมบ์ดา) มาพร้อมกับระบบที่สามารถ “เรียนรู้และพัฒนาด้วยตัวเอง” ผ่านเทคโนโลยี Reinforcement Learning ที่รถจะทำการฝึกฝนในสภาพแวดล้อมเสมือนจริง (Virtual Environment) และนำทักษะที่ได้มาใช้จริงด้วยเทคนิค Sim2Real เพื่อให้สามารถตัดสินใจ และตอบสนองได้ด้วยตนเอง

MOTOROiD:Λ(โมโตรอยด์ แลมบ์ดา) จึงเป็นอีกก้าวสำคัญของวิวัฒนาการ ที่เปิดโอกาสให้ “ยานยนต์สามารถเรียนรู้ไปพร้อมกับผู้ขี่ใช้งาน” ด้วยจุดเด่นของรุ่นนี้คือการเคลื่อนไหวที่เป็นธรรมชาติ และคล่องตัว ซึ่งได้จากการเรียนรู้ของระบบ AI รวมถึงโครงสร้างภายนอก (Exoskeleton) ที่เบา และมีความแข็งแรง รองรับการทดลอง และการพัฒนาซ้ำอย่างต่อเนื่องในกระบวนการเรียนรู้ด้วยการผสานโลกของ “การขับเคลื่อน” เข้ากับ “การเรียนรู้ของเครื่องจักร” MOTOROiD:Λ(โมโตรอยด์ แลมบ์ดา) มีเป้าหมายที่จะสร้างนิยามใหม่ให้กับโลกของยานยนต์สองล้อ และปูทางสู่อนาคตแห่งการขับเคลื่อนรูปแบบใหม่อย่างแท้จริง

 

TRICERA proto (ไทรเซร่า โปรโต)

 

TRICERA proto คือรถยานยนต์ไฟฟ้าสามล้อแบบเปิดประทุนที่สะท้อนแนวคิด “ความสนุกในการขับขี่” ที่สามารถใช้งานได้จริง มาพร้อมระบบบังคับเลี้ยวสามล้อ (3WS – Three-Wheel Steering System) ที่มอบทั้งสมรรถนะการเข้าโค้งอันเร้าใจ และ “ประสบการณ์การควบคุมแบบใหม่” ที่ทำให้การเรียนรู้วิธีขับขี่กลายเป็นความสนุกในตัวมันเอง ด้วยแรงบันดาลใจจากความรู้สึกตอบสนองที่รวดเร็วและการเชื่อมต่อระหว่างผู้ขับกับตัวรถในขณะเข้าโค้ง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของรถระบบบังคับเลี้ยวทุกล้อ (All-Wheel Steering), TRICERA proto ได้รับการปรับจูนระบบควบคุมการเลี้ยวให้ตอบโจทย์มุมมองด้าน “Human Research” เพื่อมอบความเพลิดเพลินสูงสุดและสร้างความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างคนกับเครื่องยนต์ในระดับใหม่ รถต้นแบบคันนี้ยังติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมเสียง αlive AD sound control ที่ปรับแต่งเสียงของมอเตอร์ไฟฟ้าให้มีมิติและเร้าอารมณ์ยิ่งขึ้น เพิ่มความตื่นเต้นและดึงให้ผู้ขับ “มีส่วนร่วมกับประสบการณ์ขับขี่” อย่างเต็มที่ ในด้านการออกแบบดีไซน์ เน้นที่เส้นโค้งของเฟรมกลาง (Center Frame) ถูกออกแบบให้มีโครงสร้างสามล้อที่โดดเด่น ขณะที่การตัดกันระหว่าง “พื้นที่ของผู้ขับ” และ “พื้นที่ฟังก์ชันการทำงาน” จะทำให้ความรู้สึกแตกต่างกันช่วยสร้างภาพลักษณ์ภายนอกที่โดดเด่นและล้ำยุคอย่างแท้จริง

PROTO BEV (โปรโต บีอีวี)

 

PROTO BEV รถต้นแบบที่สามารถใช้งานได้จริงคันนี้ถูกสร้างขึ้นภายใต้แนวคิด “ความสนุกที่มีได้เฉพาะในรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ความจุสูง” เพื่อยกระดับความสนุกในการขับขี่ให้ถึงขีดสุด และได้ประสบการณ์ขับขี่ที่สนุกสูงสุด ของรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในรูปแบบรถซูเปอร์สปอร์ต ยามาฮ่าจึงให้ความสำคัญในการดีไซน์ “ความเบา และขนาดที่กะทัดรัด” ส่งผลให้เกิดเป็นรถ EV Supersport ที่ขี่ง่าย คล่องตัว และควบคุมได้อย่างง่ายดายซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของยามาฮ่า จากรถเครื่องยนต์สันดาปรุ่นต่างๆ เข้ากับ “ความเรียบลื่น และความแรงเร่งอันทรงพลัง” ของมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ตอบสนองคันเร่งได้อย่างเป็นเส้นตรงและแม่นยำ นอกจากนี้ ระบบ Human–Machine Interface (HMI) ยังถูกออกแบบให้ช่วยให้ผู้ขับ “โฟกัสกับการขี่ในสนามได้อย่างเต็มที่” ด้วยปุ่มควบคุมที่จัดวางให้อยู่ในตำแหน่งใช้งานสะดวกที่ปลายนิ้ว พร้อมหน้าจอแสดงผลแบบ Visualizer และระบบเสียงที่สื่อสารสถานะของรถทั้งในรูปแบบภาพและเสียง

 

PROTO BEV จึงเป็นการผสานเทคโนโลยีไฟฟ้าเข้ากับจิตวิญญาณแห่งความเร้าใจของยามาฮ่า เพื่อสร้างนิยามใหม่ของ “ความสนุกในการขับขี่” ในยุคแห่ง EV อย่างแท้จริง

 

H2 Buddy Porter Concept (เอชทู บัดดี้พอร์ตเตอร์)

 

เครื่องยนต์ไฮโดรเจนที่เป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่าง Yamaha Motor และ Toyota Motor Corporation ได้ร่วมกันสร้าง “ถังเก็บไฮโดรเจนแรงดันสูงแบบใหม่” ที่มีขนาดกะทัดรัด เหมาะสำหรับรถจักรยานยนต์ และสกู๊ตเตอร์ และได้รับการรับรองจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมที่เป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญในการมุ่งสู่ “ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality)” โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาให้รถจักรยานยนต์เครื่องยนต์ไฮโดรเจนสามารถใช้งานบนถนนสาธารณะได้ในอนาคต โดยยามาฮ่ารับหน้าที่หลักในการพัฒนาเครื่องยนต์ไฮโดรเจน โครงสร้างตัวถัง และชิ้นส่วนสำคัญอื่นๆ ซึ่งทำให้เมื่อเติมเชื้อเพลิงเต็มถังแล้ว H2 Buddy Porter Concept จะสามารถวิ่งได้ไกลกว่า 100 กิโลเมตรต่อการเติมเชื้อเพลิงเต็มถังหนึ่งครั้ง ต้นแบบคันนี้ยังได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึง “ข้อกำหนดทางเทคนิคสำหรับการใช้งานบนถนนจริง” ตามมาตรฐานที่มีอยู่ในปัจจุบัน และผ่านการรับรองมาตรฐานมลพิษ Euro 5 รวมถึงข้อกำหนดด้าน NOx อย่างครบถ้วน

 

Y-00BBase / Y-00BBricolage 

Y-00BBase (วายศูนย์ศูนย์บี เบส) คือคอนเซ็ปต์ eBike รูปแบบใหม่ ที่ออกแบบมาเพื่อให้เจ้าของสามารถ “แสดงตัวตนได้อย่างอิสระ” ดีไซน์เฟรมแบบ Dual Twin ที่บางเบา และมินิมอล ผสานแบตเตอรี่และชุดขับเคลื่อนขนาดกะทัดรัดไว้อย่างกลมกลืน ให้ภาพลักษณ์ที่เรียบหรูและทันสมัย

ด้วยโครงสร้างที่ “ยืดหยุ่นต่อการปรับแต่ง” และ “ขยายศักยภาพได้ในอนาคต” ทำให้ Y-00BBase เติบโตไปพร้อมกับเจ้าของ สามารถปรับให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ และรสนิยมของแต่ละคนได้อย่างอิสระ กลายเป็น “คู่หู” ที่เชื่อถือได้ในทุกเส้นทาง นอกจากนี้ ยังมาพร้อม USB-PD Converter สำหรับชาร์จอุปกรณ์ได้ทุกที่ระหว่างการเดินทาง และแบตเตอรี่ทรงเพรียวที่ช่วยให้เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระมากยิ่งขึ้น

Y-00BBricolage (วายศูนย์ศูนย์บี บริโคลาจ) คือเวอร์ชันคัสตอมสุดพิเศษของ Y-00BBase ที่สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 70 ปีของ Yamaha Motor โดยได้รับแรงบันดาลใจจากผลิตภัณฑ์รถจักรยานยนต์รุ่นแรกของยามาฮ่าอย่าง YA-1 (ปี 1955) ผสานสุนทรียศาสตร์การออกแบบ ให้เข้ากับ เทคโนโลยีสมัยใหม่ อย่างลงตัว สร้างสรรค์รูปลักษณ์ และสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์อย่างแท้จริง

 

e-Axle for Automotive Drive Unit (อีแอคเซิล ออโตโมทีฟไดร์ฟ)

 

ชุดขับเคลื่อนไฟฟ้า (Electric Drive Unit) ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการส่งมอบให้กับผู้ผลิตรถยนต์ในอนาคต ด้วยโครงสร้างแบบพิเศษ 3-in-1 ที่ผสานมอเตอร์ อินเวอร์เตอร์ และระบบเกียร์เข้าไว้ในชุดเดียวกัน ทำให้สามารถให้กำลังขับที่สูง ในขณะที่ตัวของเครื่องยนต์มีน้ำหนักเบา และมีขนาดที่กะทัดรัด โดยระบบ e-Axle นี้ออกแบบให้รองรับการใช้งานได้กับรถยนต์หลายประเภท โดยสามารถทำงานกับแรงดันไฟตั้งแต่ 350V ถึง 800V และให้กำลังขับได้สูงสุดถึง 450 kW

เทคโนโลยีนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของยามาฮ่าในการพัฒนานวัตกรรมด้านการขับเคลื่อน เพื่อรองรับโลกยานยนต์ยุคไฟฟ้าในอนาคตอย่างแท้จริง

 

PROTO HEV (โปรโต เอชอีวี)

 

รถต้นแบบไฮบริด Series–Parallel Hybrid (SPHEV) ที่มอบประสบการณ์ “ความสนุกในการขับขี่” ที่แตกต่าง ด้วยความสามารถในการสลับระหว่างโหมดการขับขี่เป็นสองรูปแบบอย่างอิสระได้แก่ “Serene” และ “Spirited” ด้วยการใช้ระบบมอเตอร์ไฟฟ้า และเครื่องยนต์สันดาปภายใน รวมเข้าด้วยกันอย่างมีประสิทธิภาพ ผสานโหมดการขับขี่ที่หลายกหลายได้อย่างลงตัว ให้ความเงียบ และนุ่มนวลในการขับขี่ในเมือง พร้อมมอบสมรรถนะที่ทรงพลังและมั่นใจในขณะขับขี่นอกเมือง ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยระบบ power and energy management technology ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและประหยัดเชื้อเพลิงได้มากกว่า 35%* เมื่อเทียบกับรถจักรยานยนต์ในระดับเดียวกัน อ้างอิงจากการทดสอบภายในองค์กร ภายใต้โหมด WMTC2-2

 

PROTO PHEV (โปรโต พีเอชอีวี)

 

รถต้นแบบเพื่อการวิจัย และพัฒนา (R&D) ที่ผสานรวมกับเสน่ห์ของเครื่องยนต์สันดาปภายในให้เข้ากับเทคโนโลยีไฟฟ้า (EV) เพื่อขยายขอบเขตแห่งความสนุกในการขับขี่รถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ ให้ได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ ด้วยความสามารถในการสลับการทำงานระหว่าง เครื่องยนต์ (Engine Mode) และระบบไฟฟ้า (Electric Drive Mode) ผู้ขี่สามารถเลือกใช้งานได้ทั้งแบบ EV เต็มรูปแบบ หรือ Hybrid Mode ได้ตามสถานการณ์ PROTO PHEV ยังคงรักษาด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีเยี่ยม ควบคู่ไปกับ “ความสนุกในการขับขี่สไตล์สปอร์ต” ที่เป็นเอกลักษณ์ของยามาฮ่า เชื่อมโยงศักยภาพของเครื่องยนต์สันดาปเข้ากับอนาคตแห่งการขับเคลื่อนอย่างกลมกลืน

 

NACTUS VS TRE-X

NACTUS VS TRE-X คือต้นแบบรถวีลแชร์สามล้อที่ ร่วมมือกับ Nissin Medical Industries มาพร้อมกับชุดขับเคลื่อนแบบเสริมกำลังด้วยไฟฟ้ารุ่น JWX-2 Electric Power-Assist Unit ที่ออกแบบมาเพื่อมอบ “อิสระในการเคลื่อนไหว” รูปแบบใหม่ ด้วยยางขนาดใหญ่ 26 นิ้วแบบ Mountain Bike Off-Road ที่โดดเด่นด้วยสมรรถนะอันยอดเยี่ยม ให้ความเสถียรอันเป็นเอกลักษณ์ของรถวีลแชร์สามล้อ ช่วยให้การเดินทางสะดวกสบายแม้บนเส้นทางขรุขระและเส้นทางที่ไม่ได้ลาดยางที่รถวีลแชรทั่วไปมักจะประสบปัญหา นอกจากโครงสร้างที่จัดวางคานกลางที่ผสมผสานความแข็งแกร่งเข้ากับความสง่างามแล้ว NACTUS VS TRE-X ยังมาพร้อมคุณสมบัติที่ใช้งานได้จริงมากมาย เช่น แร็คสำหรับติดตั้งอุปกรณ์ใส่สัมภาระด้านหน้า กล่องใส่แบตเตอรี่กันน้ำ และที่วางเท้าที่กว้างขวาง

 

ONE-MAX Urban / Historical

 

รถเข็นไฟฟ้าทั้งสองรุ่นนี้ถูกออกแบบมาเพื่อความสมบูรณ์แบบในการเดินทาง และมีเอกลักษณ์” โดยติดตั้งระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า JWG-1 Wheelchair Electric Power Unit ที่ให้ทั้งความคล่องตัวและความมั่นใจในทุกเส้นทาง ด้วยระบบยึดติด (Attachment System) ที่ยืดหยุ่น ผู้ใช้สามารถปรับแต่งรูปลักษณ์และฟังก์ชันของรถเข็นให้เหมาะกับจุดหมายปลายทางหรือสไตล์การใช้งานของตนเองได้อย่างอิสระ

ONE-MAX Urban เหมาะสำหรับการเดินทางระยะใกล้ ด้วยโครงสร้างขนาดกะทัดรัด และเบาะนั่งแบบตาข่ายที่ช่วยลดความเมื่อยล้าของผู้ใช้ นอกจากนี้ยังมีกล่องเก็บของขนาดเล็กและอุปกรณ์เสริมสำหรับติดตั้งสมาร์ทโฟน ส่วนรุ่น ONE-MAX Historical เป็นรุ่นทางเลือกที่โดดเด่นด้วยดีไซน์หรูหรา ให้ความรู้สึกเหมือน “กระเป๋าเดินทางที่สรรสร้างขึ้นอย่างประณีต” ตัวถังช่วยให้การเดินทางเป็นไปอย่างมั่นคงและราบรื่น การข้ามทางม้าลาย รวมถึงการเดินทางบนถนนฟุตบาทที่ปูด้วยหินหรือคอนกรีตตัวหนอน ในขณะที่เบาะนั่งหุ้มหนังและรายละเอียดอื่นๆ แสดงให้เห็นความประณีตในทุกมิติตัวถังถูกออกแบบให้มั่นคงบนพื้นผิวไม่เรียบ เช่น พื้นศาลเจ้า วัด หรือถนนหินโบราณ ขณะที่เบาะหนังเทียมและรายละเอียดงานออกแบบเผยให้เห็นความประณีตในทุกมิติ

โดย ONE-MAX Urban และ ONE-MAX Historical  เป็นความร่วมมือระหว่างยามาฮ่าและ Matsunaga Manufactory Co., Ltd.

 

พร้อมกันนี้ภายในบูธ “Feel. Move.” ยังมีพื้นที่ที่ ยามาฮ่ามอเตอร์ ได้ร่วมมือกับทาง ยามาฮ่า คอปเปอร์เรชั่น ร่วมกันจัดแสดงด้วย Sound xR เป็นโซลูชั่นที่จะให้ความดื่มด่ำไปกับการสร้างสภาพแวดล้อมทางเสียงที่สมจริง และดึงดูดใจอย่างลึกซึ้ง ทั้งในพื้นที่จริงและพื้นที่เสมือนจริง เพื่อปรับแต่งเสียงก้อง (reverberation) ของพื้นที่ และใช้ AFC Image เพื่อควบคุมการกำหนดตำแหน่งภาพเสียง (sound image localization) ได้อย่างอิสระ ระบบทั้งสองนี้ทำงานร่วมกันเพื่อตอบสนองความต้องการของการผลิตเสียงที่ซับซ้อนในการใช้งานที่หลากหลาย เช่น ละครเวที, โอเปร่า และคอนเสิร์ต รวมถึงมอบประสบการณ์การฟังที่สมจริง และนำอุปกรณ์ทางดนตรีมาร่วมจัดแสดงได้แก่

 

FGDP-30 / FGDP-50

drum pads ที่สามารถเล่นด้วยนิ้วมือ ช่วยให้ผู้เล่นสามารถเพลิดเพลินไปกับการตีกลองที่ให้ความรู้สึกเสมือนจริงได้อย่างง่ายดาย โดยใช้เพียงแค่นิ้วสร้างจังหวะ เพื่อประสบการณ์การตีกลองด้วยนิ้วที่ง่าย และสนุก

 

N3X AvantGrand เปียโนไฮบริด เรือธงของยามาฮ่า ที่ให้ความรู้สึกในการเล่นเหมือนกับการเล่นแกรนด์เปียโน แต่มาพร้อมความสะดวกสบายที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ พร้อมกับกลไกคีย์นำเสนอเสียงแกรนด์เปียโนระดับโลกถึงสองรุ่นไว้ในเครื่องเดียวให้ผู้ที่เล่นได้เพลิดเพลินกับเสียงของแกรนด์เปียนโน ระดับโลกของ YAMAHA คือรุ่น CFX และ Bösendorfer Imperial ที่มีชื่อเสียงด้านโทนเสียงที่ทุ้มลึก และอบอุ่นอันเป็นเอกลักษณ์จากกรุงเวียนนา

 

DTX10K-X BLACK FOREST กลองชุดไฟฟ้าที่ผสานฟังก์ชันการทำงานของกลองชุดอะคูสติก (กลองจริง) เข้ากับความสวยงาม อย่างสมบูรณ์แบบสำหรับมือกลอง กลองชุด DTX ไม่เพียงแต่ทำให้การฝึกซ้อมที่บ้านเป็นเรื่องสนุกเ แต่ยังเหมาะสำหรับการใช้งานในสตูดิโอบันทึกเสียงหรือบนเวทีอีกด้วย

 

นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงรถที่ผลิตเพื่อจำหน่ายเชิงพาณิชย์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก อย่าง YAMAHA

TRACER9 GT Y-AMT รถมอเตอร์ไซค์สปอร์ตทัวร์ริ่งระดับท็อปที่ล้ำสมัยที่สุดของยามาฮ่าในตระกูล Tracer ซึ่งมาพร้อมกับเทคโนโลยีของเกียร์ที่มีกลไกการเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็ว และตอบสนองได้อย่างฉับไว มอบการขับขี่ที่นุ่มนวล สบาย และสปอร์ตในหลากหลายสถานการณ์ ตั้งแต่การขับขี่ในชีวิตประจำวัน การเดินทางไกล ไปจนถึงการขับขี่แบบสปอร์ตเร้าใจ

 

YAMAHA FAZZIO HYBRID รถจักรยานยนต์ขนาดเครื่องยนต์ 125 ซีซี ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย และภูมิภาคอาเซียน โดยยามาฮ่า ฟาซซิโอ้ ไฮบริด จะเป็นโมเดลที่เตรียมวางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นในเวลาอันใกล้นี้อีกด้วย

 

YAMAHA YZF-R1 รถแข่งในศึกการแข่งขัน Coca-Cola Suzuka 8 Hours Endurance 2025 ที่มีนักแข่งระดับโลกนำโดย แจ็ค มิลเลอร์ นักแข่งชาวออสเตเรีย จากพรีม่าพรามัค โมโตจีพี อันเดรีย โลคาเตลลี่ นักแข่งจากการแข่งขันเวิร์ด ซูเปอร์ไบค์ และนักแข่งจอมเก๋าชาวญี่ปุ่น คัสซึยูกิ นากาซึกะ ร่วมลงทำการแข่งขันในรายการที่มีชื่อเสียงของประเทศญี่ปุ่น

 

YAMAHA TY-E 3.0 รถจักรยานยนต์ Trial พลังงานไฟฟ้าที่ยามาฮ่าได้พัฒนา และลงทำการแข่งขันในระดับโลก ในรายการ “FIM Trial-E Cup” ที่ประเทศฝรั่งเศส และรายการ “Comblain au Pont” ประเทศเบลเยี่ยม และยังสามารถคว้าแชมป์ได้ที่ประเทศฝรั่งเศสอีกด้วย 

 

และทั้งหมดนี้ก็คือ กองทัพเทคโนโลยียานยนต์สุดล้ำเข้าของยามาฮ่าที่เข้าร่วมโชว์ตัวในงาน Japan Mobility Show 2025 ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ร่วมติดตามความเคลื่อนไหวของยามาฮ่าในงาน Japan Mobility Show 2025 ได้ที่ Facebook : YAMAHA Society Thailand 

Visitors: 6,326,693