ยุทธศสาตร์ไทยขับเคลื่อน EV เปลี่ยนสู่สังคมยานยนต์ไฟฟ้า

ประเทศไทยเผยยุทธศาสตร์ขับเคลื่อน EV เปิดเวทีความคิดผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐและเอกชน ระดมสมองชี้เทรนด์อุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ในงานสัมมนา “New Generation of Automotive” จุดประกายประเทศไทยเปลี่ยนผ่านสู่สังคมยานยนต์ไฟฟ้า พร้อมทั้งกระตุ้นให้คนไทยเห็นความจำเป็น และประโยชน์จากการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า ซึ่งเป็นเทรนด์ของโลกในระยะยาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

ภาครัฐพร้อมกระตุ้นคนไทยใส่ใจ EV

 

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเปิดงานสัมมนา “New Generation of Automotive” พร้อมทั้งกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “Roadmap ไทย ขับเคลื่อน EV” ว่า ในฐานะภาครัฐได้ให้ความสำคัญในการผลักดันให้ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านสู่สังคมยานยนต์ไฟฟ้า และกระตุ้นให้คนไทยเห็นถึงความสำคัญ ความจำเป็น และประโยชน์จากการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการลดมลพิษในอากาศในระยะยาว ซึ่งประเด็นการปล่อยมลพิษของรถยนต์สันดาปภายใน ถือเป็นตัวเร่งให้เกิดการพัฒนารถยนต์พลังงานทางเลือก เกิดเทคโนโลยียานยนต์ใหม่ๆ รวมถึงการออกกฎหมายควบคุมมลพิษจากยานยนต์เกิดขึ้น ดังจะเห็นได้จากกำหนดค่าไอเสียที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะที่มลรัฐแคลิฟอร์เนียที่มีการกำหนดค่ามาตรฐานการปล่อยมลพิษของตัวเอง เพื่อควบคุมและแก้ปัญหามลพิษ รวมไปถึงภูมิภาคอื่นๆ อย่างเช่นในประเทศในกลุ่มยุโรป ก็ได้มีการออกมาตรฐานการปล่อยมลพิษของยานยนต์อย่าง มาตรฐานยูโร โดยเริ่มตั้งแต่ ยูโร 1 ถึงปัจจุบันอยู่ที่มาตรฐานยูโร 6

ปัจจุบันมียานยนต์จำหน่ายทั่วโลกรวมกันกว่า 1,200 ล้านคัน ย่อมก่อให้เกิดมลภาวะทางอากาศที่มากขึ้น ดังนั้น รัฐบาลประเทศต่างๆ จึงได้มีการออกมาตรการที่เข้มงวดในเรื่องระบบท่อไอเสีย รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีให้รองรับการใช้ทั้งเครื่องยนต์และแบตเตอรี่ ไม่ว่าจะเป็น การใช้ยานยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (Hybrid Electric Vehicle : HEV) ยานยนต์ไฟฟ้าไฮบริดปลั๊กอิน (Plug-in Hybrid Electric Vehicle : PHEV) รวมทั้งยานยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle : BEV) รวมถึงการออกนโยบายสนับสนุนการใช้รถยนต์ประเภทนี้ อาทิ รัฐแคลิฟอร์เนีย ออกนโยบายการเงินในการสนับสนุนเงินให้ผู้ซื้อยานยนต์ไฟฟ้าสูงสุดกว่า 200,000 บาทต่อคัน และการสนับสนุนให้ตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า ทำให้ในปี ค.ศ. 2018 มีจำนวนแท่นชาร์จไฟกว่า 450,000 แท่น มากที่สุด ในประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นต้น

สำหรับประเทศไทย ซึ่งเป็นฐานการผลิตยานยนต์ที่สำคัญ โดยในปี ค.ศ. 2019 มีการผลิตอยู่ในอันดับที่ 11 ของโลก และอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ถือเป็น 1 ใน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) ที่มีศักยภาพและมีบทบาทสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจของประเทศ รัฐบาลไทยได้จัดตั้งคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ และมีการบูรณาการทำงานร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยการประชุมครั้งที่ 1 ได้มีการเห็นชอบ แผน 30@30 โดยปี ค.ศ. 2030 จะผลิตยานยนต์ไฟฟ้า 30% ของการผลิตรถยนต์ในไทย โดยแบ่งการทำงานเป็น 3 ระยะ คือ :-

ระยะสั้น (2020-2022) ผลิตรถสำหรับรถราชการ รถสาธารณะ รถจักรยานยนต์ สาธารณะ 60,000-110,000 คัน

ระยะกลาง (2021-2025) จะผลักดัน ECO EV จำนวน 100,000-250,000 คัน และผลักดันสมาร์ท ซิตี้ บัส จำนวน 300,000 คัน

ระยะยาว (2026-2030) ให้มีการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าประมาณ 750,000 คัน

 

พร้อมกันนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมยังได้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเดินหน้าโครงการมาตรการยานยนต์เก่าแลกยานยนต์ไฟฟ้า (xEV) โดยการนำรถเก่าที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 15 ปี มาเปลี่ยนเป็นยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อส่งเสริมตลาดและการจัดการซากยานยนต์ โดยจะมีการศึกษาการจัดการซากยานยนต์ในประเทศไทยอย่างจริงจัง เพื่อให้เกิดการจัดการซากรถยนต์ที่เป็นระบบ ลงทุนการรีไซเคิลซากรถยนต์และแบตเตอรี่ และเข้าสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนด้านโครงสร้างพื้นฐานได้รองรับการส่งเสริมสถานีอัดประจุไฟฟ้า โดยใช้อัตราค่าไฟฟ้าแบบคงที่ 2.63 บาทต่อหน่วย และตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าสาธารณะให้ตั้งภายในรัศมี 50-70 กิโลเมตร เพื่อให้ครอบคลุมการเดินทางระยะไกล ซึ่งที่ผ่านมาภาครัฐและภาคเอกชนมีการส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยมีความพร้อมในการเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญแห่งหนึ่งในอนาคตอันใกล้

 

เอ็มจี เดินหน้าสร้างระบบนิเวศรถยนต์ไฟฟ้า

 

มร.จาง ไห่โป กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด และบริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จากนิยามของ New Generation of Automotive ในมุมของเอ็มจี ประกอบด้วย 3 ประเด็นสำคัญ คือ ระบบอิเล็กทรอนิกส์ ระบบไร้คนขับ และพลังงานทางเลือก สำหรับ SAIC Motor ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเอ็มจี ถือเป็นหนึ่งในผู้นำทางด้านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าลำดับต้นๆ ของโลกที่พัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง

สำหรับประเทศไทยSAIC Motor ทำตลาดด้วยแบรนด์เอ็มจี โดยถือเป็นผู้จุดประกายให้เกิดกระแสยานยนต์ไฟฟ้าในสังคมไทยด้วยการเปิดตัว MG ZS EV ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ที่สามารถตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ด้วยคอนเซ็ปต์ “EASY” ที่สามารถเป็นเจ้าของได้ง่าย ดูแลรักษาได้ง่าย ใช้งานได้ง่าย เมื่อปีที่ผ่านมา

สำหรับในปีนี้ เอ็มจีได้เดินหน้าสร้างระบบนิเวศรถยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องด้วยการลงทุนติดตั้งจุดชาร์จ ในรูปแบบ DC โดยภายในปีนี้ จะมีจุดชาร์จจำนวน 100 แห่งในโชว์รูมและศูนย์บริการเอ็มจีทั่วประเทศ และวางแผนในการขยายจุดชาร์จเพิ่มอีก 1 เท่าตัวภายในปีหน้า ส่วนแผนงานในระยะที่ 2 ในการเพิ่มจำนวนสถานีชาร์จให้มากขึ้น จะเลือกสถานีที่อยู่เส้นทางหลักตามทางหลวง และแผนงานในระยะที่ 3 จะเพิ่มสถานีชาร์จที่ศูนย์การค้า ออฟฟิศ หมู่บ้าน ที่พักอาศัย นอกจากนี้ ยังมีแผนนำรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ รวมทั้งรถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริดเข้ามาทำตลาดอีกด้วย โดยเอ็มจีมุ่งหวังให้เกิดการบูรณาการและพร้อมที่จะสนับสนุนความร่วมมือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สังคมยานยนต์ไฟฟ้าไทยเติบโตมากขึ้น พร้อมนำเสนอให้รัฐบาลช่วยผลักดันเรื่องสิทธิพิเศษด้านภาษี หรือการลงทุน รวมถึงการมอบสิทธิพิเศษให้กับผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น

 

บีโอไอ. เตรียมแผงหนุนลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าครบวงจร

 

นายโชคดี แก้วแสง รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ.) กล่าวว่า ในปี พ.ศ. 2560 บีโอไอ.เตรียมการลงทุนเรื่องนโยบายการลงทุนรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ครอบคลุมทุกเรื่องการผลิต ความต้องการตลาด การส่งเสริมการลงทุน การสร้างสถานีชาร์จ รถยนต์ใช้ส่วนบุคคล รถยนต์สาธารณะ และชิ้นส่วน ในปัจจุบัน มีผู้เข้ามาลงทุนในส่วนของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าทั้งหมด 16 บริษัท รวม 26 โครงการ โดยมีการขอส่งเสริมการลงทุนในการผลิตรถยนต์ ประเภทไฮบริด (HEV) ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) รวมถึงรถพลังงานไฟฟ้า 100% (BEV) และมียอดการผลิตรวมกันกว่า 560,000 คัน ขณะที่บีโอไอ.กำลังพิจารณาส่งเสริมการลงทุนเพิ่มเติมในส่วนของสามล้อไฟฟ้า และรถจักรยานยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ที่มีแผนการเปิดโครงการในช่วงการประชุมคณะกรรมการบีโอไอครั้งต่อไป 

 

สำหรับประเทศไทย บีโอไอ. มองว่า ไทยต้องมีขีดความสามารถในการสร้างการรับรู้เรื่องนวัตกรรม ต่อยอดสู่การพัฒนาให้ได้ เราต้องเข้าใจบริบทของความต้องการ เพราะประเทศเราเป็นฐานการผลิตรถยนต์ประเภทสันดาปภายในมานาน ดังนั้น เราต้องรีบศึกษาเพื่อจะผันตัวเป็นศูนย์กลางในการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ฉะนั้น เราต้องปรับตัวให้ได้และให้ทัน ทั้งเรื่องเครื่องมือ (Supply) และการขยายตลาด (Demand) ต้องดูเรื่องผู้ผลิตและผู้ใช้งานมีความพร้อมหรือไม่ ซึ่งจากแผน 30@30 เราต้องคิดกลยุทธ์เพื่อให้เกิดการลงทุนที่มากขึ้น อาทิ การผลิตรถบัสพลังงานไฟฟ้า เพื่อการใช้งานขนส่งสาธารณะ ซึ่งเป็นถือเป็นจำนวนการผลิตที่ค่อนข้างสูง

 

กฟภ. เดินหน้าขยายสถานีอัดประจุไฟฟ้า

 

นายเสกสรร เสริมพงศ์ รองผู้ว่าการวางแผนและพัฒนาระบบไฟฟ้า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) กล่าวแสดงความคิดเห็นว่า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค รับผิดชอบพื้นที่ครอบคลุม 74 จังหวัด โดยในปัจจุบัน มีการสร้างสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ทั้งหมด 11 แห่ง นอกจากนี้ กฟภ.ยังมีแผนในการขยายสถานีอัดประจุไฟฟ้าร่วมกับบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เพิ่มอีก 62 จุด แบ่งเป็นในสถานีบริการน้ำมันบางจาก 56 จุด และส่วนพื้นที่ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอีก 6 จุด โดยจะแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 2 ของ ปี พ.ศ. 2564 และในระยะถัดไป ระหว่างปี พ.ศ. 2564 - พ.ศ. 2565 เราจะดำเนินการสร้างสถานีอัดประจุไฟฟ้าอีก 64 จุด ทำให้ในปี พ.ศ. 2565 ทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จะมีสถานีอัดประจุไฟฟ้าทั้งหมด 137 จุด ซึ่งจะครอบคลุมพื้นที่ 75 จังหวัด (รวมกรุงเทพมหานคร) โดยมีต้นทุนในการสร้างสถานีอัดประจุไฟฟ้า เฉลี่ย 2.5 ล้านบาท ต่อหนึ่งแท่นชาร์จ

 

กฟน. ขยายสถานีอัดประจุไฟฟ้ารับประชากร EV

 

นายพรศักดิ์ อุดมทรัพยากุล ผู้ช่วยผู้ว่าการวางแผนและพัฒนาองค์กร การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) สำหรับเขตงานบริการของการไฟฟ้านครหลวง ครอบคลุมพื้นที่ใน 3 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ ในปัจจุบัน เรามีสถานีอัดประจุไฟฟ้า 10 จุด จำนวน 15 แท่นชาร์จ โดยมีแผนการขยายสถานีอัดประจุไฟฟ้า เพิ่มขึ้นอีก 118 จุด รวมเป็น 128 จุด ภายในปี พ.ศ. 2565 พร้อมทั้งมีการพัฒนาแอพพลิเคชั่น ในการค้นหาสถานีชาร์จไฟฟ้าทั้งประเทศ และสามารถจองแท่นชาร์จก่อนเข้ารับบริการได้  

 

ในทางนโยบายนั้น ทางการไฟฟ้านครหลวงได้มีการเร่งดำเนินการขยายสถานีชาร์จอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ เราจะส่งเสริมให้ผู้บริโภคเข้าใจในการใช้งานรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในชีวิตประจำวัน หากไม่ได้ออกนอกบริเวณจังหวัดที่ใกล้เคียง รถยนต์พลังงานไฟฟ้า ในปัจจุบันมีระยะทางวิ่งมากกว่า 200 กิโลเมตร ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งาน สะดวกต่อการชาร์จพลังงานไฟฟ้าที่ที่พักอาศัยของผู้ใช้งาน

 

สถาบันยานยนต์ ขานรับ EV เต็มที่

 

นายพิสิฐ รังสฤษฎ์วุฒิกุล ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ กล่าวว่า สถาบันยานยนต์เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่เป็นกลไกของภาครัฐเพื่อสนับสนุนให้กับกระทรวงอุตสาหกรรม มีพันธกิจในเรื่องของการศึกษาวิจัยในด้านเทคโนโลยียานยนต์ร่วมกับทั้งทางภาครัฐและเอกชน รวมถึงการพัฒนาบุคลากรในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ ฝึกอบรม ศูนย์ทดสอบ ตามมาตรฐาน มอก. และตามมาตรฐานต่างประเทศด้วย ปัจจุบันสถาบันยานยนต์มีที่ตั้ง 3 แห่ง ประกอบด้วย กล้วยน้ำไท ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางข้อมูล นิคมอุตสาหกรรมบางปู จ.สมุทรปราการ ทำหน้าที่ทดสอบเรื่องมลพิษ และสนามไชยเขต จ.ฉะเชิงเทรา ทำหน้าที่ทดสอบด้าน EV ทั้งรถยนต์ไฟฟ้าและรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า สำหรับศูนย์ทดสอบสนามไชยเขต คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2563 นี้

 

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของเครื่องมือที่จำเป็นต่อการทดสอบ ในปี พ.ศ. 2562 ทางสถาบันฯ ได้รับอุปกรณ์มาแล้วทั้งสิ้น 5 ชิ้น เป็นเครื่องทดสอบความแข็งแรง การชาร์จไฟ การปล่อยประจุเกิน การทนต่ออุณหภูมิ ไฟรั่วหรือไฟฟ้าลัดวงจร ส่วนอุปกรณ์อีก 4 ชิ้น จะเป็นงบประมาณของปี พ.ศ. 2563 ซึ่งจะทำให้ทางสถาบันฯ มีเครื่องมือในการทดสอบรวมทั้งสิ้น 9 เครื่อง ในส่วนงานด้านบุคลากร เรากำลังจะมีการลงนามในสัญญาความร่วมมือ (MOU)กับทางศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC)

สวทช.วางแกนการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม

 

ขณะที่นายไกรสร อัญชลีวรพันธุ์ ผู้อำนวยการศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวถึงความรับผิดชอบว่า ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ นับได้ว่าเป็นคลังสมองของประเทศ (Think Tank) ในด้านการทำ R&D เพราะการวิจัยที่ดีจะทำให้ประเทศสามารถพัฒนาไปได้ไกล ในอนาคตเราได้มีการจัดทำมาตรฐานแกนการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของแบตเตอรี่ Charging Station ในด้านของการกำหนดมาตรฐานเราใช้ IEC & ISO เป็นตัวกำหนด และมีการพัฒนาระบบยานยนต์ รวมถึงระบบช่วยขับขี่ ADAS ที่มีการใช้มากขึ้น เราต้องการให้มีมาตรฐานของเครื่องชาร์จ หัวชาร์จ แบตเตอรี่ แท่นชาร์จ และหัวใจสำคัญของยานยนต์ไฟฟ้าอย่างแบตเตอรี่ เพราะฉะนั้นมาตรฐานในเรื่องนี้จึงสำคัญมาก

 

นอกจากนี้ PTEC จะเป็นฝ่ายดูแลและควบคุมเรื่องแบตเตอรี่ผ่านขั้นตอนการทำ Lab Test ที่เป็นมาตรฐานบังคับ รวมไปถึงการนำ Cell Battery ที่มีโมดูลและวงจรควบคุมแบตเตอรี่ (Battery Management System) ในการจัดการและควบคุมประจุของแบตเตอรี่ การวิจัยเรื่องการปล่อยประจุไฟฟ้า และการชาร์จไฟฟ้า ทั้งในรูปแบบ AC และ DC การตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ และการระบายความร้อนของแบตเตอรี่             

 

ในด้านการทดสอบเราทดสอบตั้งแต่เรื่องอุณหภูมิแบตเตอรี่ขณะขับขี่ ระบบระบายความร้อน การสั่นสะเทือนขณะขับขี่ ระบบความปลอดภัย และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพและคุณภาพการขับขี่  ในประเทศไทย

 

“เรากำลังดำเนินการสร้าง Lab ทดสอบ ที่สามารถนำรถบัส 2 ชั้นที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าและมีเป็นยานยนต์อัตโนมัติ ไร้คนขับ พร้อมทั้งทดสอบโครงสร้างที่น้ำหนักเบา และรูปแบบต่างๆ รวมทั้งการควบคุมเรื่องความถี่ของรถที่จะไม่กวนการทำงานของเครื่องยนต์หรือ ซอฟต์แวร์ อื่นๆ ทั้งนี้ PTEC มองว่าประเทศไทย อุตสาหกรรมยานยนต์ของเราไม่ได้มีความห่างชั้นกับประเทศเพื่อนบ้าน เพราะเรามีศักยภาพที่ค่อนข้างพร้อม และประเทศไทยก็ยังเป็นศูนย์การผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุด เป็นอับดับ 2 ของภูมิภาคอาเซียน และส่วนสำคัญที่จะเร่งการพัฒนาของประเทศไปอีกขั้น คือ การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีที่โดดเด่นจากประเทศอื่นๆ เข้ามาปรับใช้ในเมืองไทย หากเราได้เรียนรู้นวัตกรรมใหม่ๆ ก็จะสามารถทำให้เกิดการพัฒนาได้อย่างรวดเร็วมากขึ้นนายไกรสร กล่าวในที่สุด

Visitors: 5,034,957