บทสรุป เนสกาแฟ...เนสท์เล่ ยืนยันลงทุนผลิตเนสกาแฟในประเทศไทย
“เนสกาแฟ” แบรนด์กาแฟจากเนสท์เล่ที่ได้รับความนิยมอันดับหนึ่งจากผู้บริโภคชาวไทย ได้มุ่งมั่นสร้างประโยชน์แก่เศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมของไทยมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับซื้อเมล็ดกาแฟดิบจากเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟไทยมาเป็นเวลานานกว่า 40 ปี โดยล่าสุดเมื่อต้นปี พ.ศ. 2568 เนสท์เล่ ได้รับซื้อเมล็ดกาแฟโรบัสต้าจากเกษตรกรไทยเหมือนเช่นทุกปีที่ผ่านมา
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533-2567 เนสท์เล่ ได้มีสัญญากับบริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักส์ จำกัด (QCP) ให้เป็นผู้ผลิตเนสกาแฟ ในประเทศไทย โดยสูตรกาแฟและเทคโนโลยีการผลิตเป็นทรัพย์สินทางปัญญาของเนสท์เล่ และทีมงานในสายการผลิตและการบริหารงานทั้งหมดก็เป็นทีมงานของเนสท์เล่
ภายหลังการสิ้นสุดสัญญาระหว่างเนสท์เล่ กับ QCP ตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2567 เนสท์เล่ได้ดำเนินการเพื่อจัดหาผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ เพื่อให้ผู้บริโภคไทยยังคงสามารถดื่มด่ำกับผลิตภัณฑ์เนสกาแฟทุกประเภทได้อย่างเต็มที่ด้วยรสชาติและคุณภาพระดับสูงเช่นเดิม โดยเนสท์เล่ได้มีการว่าจ้างบริษัทในประเทศไทยให้ช่วยผลิตผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ พร้อมทั้งนำเข้าผลิตภัณฑ์บางส่วนจากประเทศในแถบอาเซียนเป็นการชั่วคราว เนื่องจากกำลังผลิตภายในประเทศไม่เพียงพอ ทั้งนี้ เนสท์เล่ ยืนยันว่าจะลงทุนเพื่อผลิตเนสกาแฟในประเทศไทยต่อไป และในขณะนี้ เนสท์เล่กำลังเตรียมการเพื่อกลับมาดำเนินการผลิต เนสกาแฟในประเทศ หลังจากที่ได้รับคำสั่งจากศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง โดยในระหว่างที่เรากำลังเตรียมการเพื่อผลิตเนสกาแฟในประเทศไทย เราจะยังคงมุ่งมั่นสนับสนุนเกษตรกรไทยด้วยการรับซื้อวัตถุดิบในการผลิตจากเกษตรกรไทยให้มากที่สุด
ก่อนหน้านี้ เนสท์เล่ได้รับคำตัดสินจากศาลอนุญาโตตุลาการสากลว่าเนสท์เล่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญาการร่วมทุนอย่างครบถ้วน และการสิ้นสุดสัญญากับบริษัท QCP เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2567 ถูกต้องและมีผลสมบูรณ์ทางกฎหมาย แต่ผู้ถือหุ้นของบริษัท QCP คือ นายเฉลิมชัย มหากิจศิริและครอบครัว กลับยื่นขอคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวจากศาลแพ่งมีนบุรี และต่อมาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ในคดีหมายเลขดำที่ ทป 58/2568 มีคำสั่งว่า บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เป็นผู้มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในอันที่จะใช้เครื่องหมายการค้า “Nescafé” ในประเทศไทย ซึ่งมีผลให้เนสท์เล่สามารถกลับมาดำเนินธุรกิจเนสกาแฟในประเทศได้ตามปกติตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2568
ทั้งนี้ เนสท์เล่จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้มั่นใจว่าผู้ประกอบการรายย่อย คู่ค้าซัพพลายเออร์ ผู้บริโภค และเกษตรกรที่เราทำงานด้วยอย่างใกล้ชิด จะไม่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินการของผู้ถือหุ้นดังกล่าว
เนสท์เล่มีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยในระหว่างปี พ.ศ. 2561-2567 เนสท์เล่ได้ลงทุนกว่า 22,800 ล้านบาทในประเทศไทย และเนสท์เล่จะยังคงเดินหน้าลงทุนเพื่อสร้างประโยชน์แก่ลูกค้า ผู้บริโภค พนักงานของเรา เกษตรกรที่ทำงานร่วมกับเรา ตลอดจนพันธมิตรทางธุรกิจของเราต่อไป
ความมุ่งมั่นของเนสท์เล่ต่อตลาดแบรนด์เนสกาแฟในประเทศไทย
1) อยากให้สรุปเรื่องราวระหว่างเนสท์เล่กับตระกูลมหากิจศิริว่าเป็นอย่างไร
เนสท์เล่เป็นเจ้าของแบรนด์เนสกาแฟ เนสท์เล่ร่วมลงทุนกับฝั่งคุณประยุทธ มหากิจศิริ ทำโรงงานชื่อบริษัทควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักท์ส จำกัด (QCP) เพื่อผลิตเนสกาแฟในประเทศไทย คุณประยุทธและครอบครัวถือหุ้นครึ่งหนึ่งในบริษัท QCP เนสท์เล่ก็ถือหุ้นอีกครึ่งหนึ่งและเป็นคนบริหารจัดการเรื่องการผลิต การจัดจำหน่าย และทำการตลาดผลิตภัณฑ์เนสกาแฟเองในประเทศไทย สูตรกาแฟกับเทคโนโลยีการผลิตก็เป็นของเนสท์เล่เองทั้งหมด พอบริษัท QCP หมดอายุสัญญากับเนสท์เล่ เนสท์เล่ก็ไม่ได้ต่อสัญญาเมื่อเดือนธันวาคม 2567 ศาลอนุญาโตตุลาการสากลก็ตัดสินว่า เนสท์เล่เลิกสัญญาร่วมทุน (Joint Venture) ถูกต้องแล้ว แต่ฝั่งคุณเฉลิมชัย มหากิจศิริและครอบครัว กลับฟ้องคดีต่อศาลแพ่งมีนบุรี โดยที่เนสท์เล่ยังไม่ทันได้นำเสนอพยานหลักฐานซึ่งรวมถึงคำตัดสินของศาลอนุญาโตตุลาการสากลที่มีผลสมบูรณ์ทางกฎหมาย ก่อนที่ศาลแพ่งมีนบุรีจะมีคำสั่งห้ามเนสท์เล่ไม่ให้ผลิต ห้ามขาย ห้ามนำเข้าสินค้าเนสกาแฟในประเทศไทย เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา ทำให้เกิดเป็นผลกระทบเป็นวงกว้าง จนกระทั่งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2568 ซึ่งทำให้เนสท์เล่กลับมาดำเนินธุรกิจเนสกาแฟได้ตามปกติ
2) เนสท์เล่จะดำเนินการทางกฎหมายต่อไปอย่างไร
เนสท์เล่ จะทำทุกวิถีทางในทางกฎหมายเพื่อให้มั่นใจว่าผู้ประกอบการธุรกิจ ผู้บริโภค และเกษตรกรที่เราทำงานด้วยอย่างใกล้ชิด จะไม่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินการของผู้ถือหุ้นบริษัท QCP ดังกล่าว
3) กรณีของเนสท์เล่กับตระกูลมหากิจศิริ เหมือนกับกรณีเจ้าของแบรนด์ดังและผู้ผลิตในประเทศไทยที่ยกเลิกสัญญากันในอดีตใช่หรือไม่
มีข้อแตกต่างกันหลายประการ ซึ่งก็คือ เนสท์เล่ เป็นเจ้าของแบรนด์เนสกาแฟแต่เพียงผู้เดียว ตระกูลมหากิจศิริถือหุ้นครึ่งหนึ่งในบริษัทQCP ที่ทำหน้าที่ผลิตเนสกาแฟในประเทศไทย เนสท์เล่ก็ถือหุ้นอีกครึ่งหนึ่ง และเป็นคนบริหารจัดการเรื่องการผลิต การจัดจำหน่าย และทำการตลาดผลิตภัณฑ์เนสกาแฟเองในประเทศไทย สูตรกาแฟกับเทคโนโลยีการผลิตก็เป็นทรัพย์สินทางปัญญาของเนสท์เล่ และทีมงานในสายการผลิตและการบริหารงานทั้งหมดก็เป็นทีมงานของเนสท์เล่
4) เนสท์เล่จะลงทุนสร้างโรงงานใหม่ในประเทศไทยใช่ไหม และจะสร้างที่ไหน
เรามีความมุ่งมั่นที่จะผลิตเนสกาแฟในประเทศไทย แต่เรายังไม่สามารถให้รายละเอียดได้ในขณะนี้
5) การที่เนสท์เล่ออกแถลงการณ์ว่าจะต้องหยุดส่งสินค้าชั่วคราว เป็นความตั้งใจของการตลาดเพื่อสร้างกระแสและขึ้นราคาสินค้าหรือไม่
ไม่ใช่เลย เนสท์เล่ จำเป็นต้องหยุดส่งผลิตภัณฑ์เนสกาแฟทั้งหมดเป็นการชั่วคราว เนื่องจากคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลแพ่งมีนบุรีเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 เนสท์เล่ มีความห่วงใยผู้ประกอบการรายย่อย เกษตรกรไทยและคู่ค้าซัพพลายเออร์ตลอดห่วงโซ่คุณค่าที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งศาลคุ้มครองชั่วคราว และเนสท์เล่ได้ทำทุกวิถีทางเพื่อแก้ไขสถานการณ์
6) คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลแพ่งมีนบุรีไม่มีผลบังคับใช้แล้วหรือ
เรายึดตามคำตัดสินล่าสุดจากศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ที่ยืนยันว่าบริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เป็นผู้มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในอันที่จะใช้เครื่องหมายการค้า “Nescafé” ในประเทศไทย ทำให้เนสท์เล่สามารถกลับมาดำเนินธุรกิจเนสกาแฟในประเทศไทยได้ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2568
7) ทำไมบริษัท QCP ไม่สามารถผลิตผลิตภัณฑ์เนสกาแฟได้อีก
เพราะสัญญาระหว่าง เนสท์เล่กับบริษัท QCP สิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2567 โดยมีผลสมบูรณ์ทางกฎหมายตามคำตัดสินจากศาลอนุญาโตตุลาการสากล ดังนั้น บริษัท QCP จึงไม่มีสิทธิในการผลิตผลิตภัณฑ์เนสกาแฟอีกต่อไป หลังจากนั้นมา เนสท์เล่ก็ได้จัดหาผลิตภัณฑ์เนสกาแฟเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภคไทย ด้วยการว่าจ้างบริษัทในประเทศไทยให้ช่วยผลิตผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ พร้อมทั้งนำเข้าผลิตภัณฑ์บางส่วนจากประเทศอื่นเป็นการชั่วคราว จนกว่าเนสท์เล่จะสามารถกลับมาดำเนินการผลิตเนสกาแฟในประเทศได้อีกครั้ง
อนึ่ง เนสท์เล่เป็นบริษัทผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มรายใหญ่ที่สุดของโลก ครอบคลุม 185 ประเทศทั่วโลก พนักงานเนสท์เล่กว่า 277,000 คนต่างมีพันธสัญญาต่อเจตนารมณ์ของเนสท์เล่ในการเปิดพลังแห่งอาหารเพื่อเพิ่มพูนคุณภาพชีวิตที่ดี สำหรับทุกคนในวันนี้และในอนาคต (Unlocking the power of food to enhance quality of life for everyone, today and for generations to come)
เนสท์เล่นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการสำหรับผู้คนและสัตว์เลี้ยงครอบคลุมในทุกช่วงวัย มากกว่า 2,000 แบรนด์ ทั้งที่เป็นแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักในระดับโลก เช่น เนสกาแฟ เนสเปรสโซ ไมโล แม็กกี้ ตลอดจนแบรนด์ที่เป็นที่ชื่นชอบในท้องถิ่นอย่าง ตราหมี หรือมิเนเร่ บริษัทฯ ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยกลยุทธ์ที่จะสร้างสรรค์สิ่งดีๆ เพื่อผู้บริโภค (Good for You) และสิ่งดีๆ เพื่อโลกของเรา (Good for the Planet) ปัจจุบัน เนสท์เล่ก่อตั้งมานานกว่า 150 ปี โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองเวเวย์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์